Translate - แปลหน้านี้ในแบบภาษาของคุณ

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การตรวจแป๊ปสเมียร์

การตรวจแป๊ปสเมียร์
เป็นการตรวจค้นหามะเร็งปากมดลูก ที่ยอมรับเป็นมาตรฐานของโลก
มะเร็ง คืออะไร?
มะเร็ง คือ โรคที่เกิดจากเซลล์ของร่างกาย มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วผิดปกติ สามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้ โดยเนื้อมะเร็งจะทำลาย และลุกลามเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ ได้


โครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
ในประเทศไทย โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นโรคมะเร็งที่พบเป็นอันดับหนึ่งในสตรีไทย โดยพบมากที่สุดในสตรีที่มีอายุระหว่าง 45 - 50 ปี มีอัตราการอยู่รอด 5 ปี ในการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกัน และควบคุมโรคมะเร็งปากมดลูก ควรจะดำเนินการในด้านการตรวจหาโรคมะเร็งให้ได้ตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มแรก ซึ่งเป็นระยะที่สามารถทำการรักษาให้หายได้ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยการการรักษามะเร็งในระยะลุกลาม ส่งผลให้ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็ง และอัตราการตายจากโรคมะเร็งได้อย่างเป็นรูปธรรม


สตรีที่มีอายุระหว่าง 30 -60 ปี ทั้งผู้มีสิทธิบัตรประกันสุขภาพสิทธิข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม สามารถติดต่อเพื่อเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการประจำใกล้บ้าน โดยนำหลักฐานที่ต้องใช้เพื่อติดต่อขอรับบริการ ได้แก บัตรประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

แป๊ปสเมียร์ คืออะไร?
แป๊ปสเมียร์ เป็นการตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูก เพื่อค้นหาความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูก โดยเฉพาะในระยะก่อนเป็นมะเร็ง


ใครบ้างที่ควรตรวจแป๊ปสเมียร์
  • หญิงอายุ 35 , 40 , 45 , 50 , 55 , 60 และ 65 ปี ควรได้รับการตรวจแป๊ปสเมียร์ เพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก และในระยะก่อนเป็นมะเร็ง
  • หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วทุกคน (ถึงแม้อายุจะน้อยกว่า 35 ปี)
  • ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอด หรือมีตกขาวผิดปกติ
หมายเหตุ : หญิงที่ตัดมดลูก หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือหญิงที่ไม่มีเพศสัมพันธ์ ก็จำเป็นต้องตรวจ

ท่านจะตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ที่ไหน

  • โรงพยาบาล
  • โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
ทำไมต้องตรวจแป๊ปสเมียร์
การทำแป๊ปสเมียร์ สามารถตรวจเซลล์ปากมดลูกที่เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นระยะก่อนเป็นมะเร็ง ซึ่งถ้าทำการรักษา และติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ จะลดอัตราการเป็นมะเร็งปากมดลูกลงได้

3 โรค รักษาได้ ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

3 โรค รักษาได้ ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
ใช้ยาสมเหตุสมผล ไม่จน ไม่แพ้ ไม่ดื้อยา


เป็นหวัด เจ็บคอ ต้องกินยาปฏิชีวนะไหม?
ไม่ต้องกิน หลายคนคิดว่าเป็นหวัด หรือเจ็บคอแล้วต้องกินยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ จริงๆ แล้วเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะหวัดเกิดจากเชื้อไวรัส แต่ยาปฏิชีวนะเอาไว้ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การกินยาเพื่อรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสจึงไม่ถูกต้อง แถมยังทำให้เปลืองเงิน เสี่ยงต่อการแพ้ยา และก่อปัญหาเชื้อดื้อยาด้วย


วิธีการรักษาโรคหวัดที่ดีที่สุด คือ
ดื่มน้ำอุ่น และพักผ่อน เพราะจะทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ จาม ปวดหัว ครั่นเนื้อครั่นตัว หากรำคาญอาการดังกล่าวอาจจะปรึกษาแพทย์ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมในการบรรเทาอาการนั้น


ยาปฏิชีวนะ หยุดอาการท้องเสีย ได้จริงหรือ?
ยาปฏิชีวนะใช้ได้ผลกับอาการท้องเสียที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น ท้องเสียจากสาเหตุอื่น เช่น ติดเชื้อไวรัส หรืออาหารเป็นพิษ ยาปฏิชีวนะใช้ไม่ได้ผล


อาการท้องเสียจากแบคทีเรียพบน้อยมาก
(ท้องเสีย 100 คน ติดเชื้อแบคทีเรียแค่ 5 คนเท่านั้น) การกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่ท้องเสียจึงเปลืองเงิน เสี่ยงต่อการแพ้ยา และก่อปัญหาเชื้อดื้อยาด้วย


วิธีการรักษาที่ดีที่สุด คือ ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทน น้ำและเกลือแร่ที่เสียไป ควรกินอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม งดอาหารรสจัด หรือย่อยยาก และไม่ควรดื่มนม ที่สำคัญอาการท้องเสียป้องกันได้ โดยกินอาหารสุกใหม่ ดื่มน้ำสะอาด และล้างมือก่อนกินอาหาร

แผลเลือดออกขนาดนี้ ทำไมไม่ให้ยาปฏิชีวนะ?
ถ้าแผลไม่สัมผัสสิ่งสกปรก ขอบเรียบ ล้างแผลอย่างถูกวิธี และสุขภาพเราแข็งแรงดี เช่น ไม่เป็นเบาหวาน ก็ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ที่สำคัญอย่าให้แผลโดนน้ำ (อย่างน้อย 3 วัน หรือตามหมอสั่ง) รักษาบริเวณแผลให้สะอาด ไปทำแผลตามนัด หรือทำแผลเองอย่างถูกวิธี เพียงเท่านี้ แผลก็หายเองได้


ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อ
ไม่ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น การรักษาความสะอาดของแผลให้ดีก็เพียงพอที่จะทำให้แผลหายได้ แต่ถ้าแผล บวม อักเสบ ต้องรีบไปหาหมอทันที



โทษจากการใช้ยาปฏิชีวนะ อย่างไม่เหมาะสม

จน
โรคบางอย่างหายเองได้เอง ไม่ต้องเสียเงินซื้อยา ทำให้สิ้นเปลือง จึงไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง


แพ้
การใช้ยาปฏิชีวนะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ ท้องเดิน มีผื่นคัน หรือรุ่นแรงถึงขั้นเสียชีวิต จึงไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ



ดื้อยา
ถ้าเชื้อดื้อยาทำให้ต้องกินยาที่อันตรายมากขึ้น แพงขึ้น สุดท้ายยาอะไรก็รักษาไม่หาย